เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการสวดมนต์


2_1_~1 
คำว่า “พุทธมนต์ นั้นหมายถึง พระพุทธพจน์อันเป็นพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกบ้าง เป็นคำที่แต่งขึ้นมาภายหลังบ้าง โดยถือกันว่าพระพุทธมนต์เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ สามารถปัดป้องอันตรายต่างๆได้ จึงเรียกอีกอย่างว่า “พระปริตร”
คำว่า “ปริตร มีความหมายว่า คุ้มครองรักษา หรือเครื่องคุ้มครองป้องกัน ซึ่งบทพระพุทธมนต์ที่นิยมว่าศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ปรากฏรวบรวมไว้มี ๗ บท จึงเรียกว่า “เจ็ดตำนาน”
ตามปกติ คำว่าตำนาน จะหมายถึงเรื่องราวนมนานที่เล่ากันสืบๆ มา แต่ในที่นี้เป็นการเรียกพระปริตรบทๆ หนึ่งว่า “ตำนาน” ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะแผลงมาจากคำว่า “ตาณ” ในภาษาบาลีที่แปลว่า ต้านทานหรือป้องกันเช่นเดียวกับคำว่า ปริตร หรืออาจจะหมายถึงตำนานอันเป็นที่มาของแต่ละพระสูตรก็เป็นได้
สำหรับเรื่องคำว่า “คาถา” นั้นแปลว่า ถ้อยคำที่ร้อยกรอง ถ้อยคำที่ผูกไว้ ถ้อยคำที่ขับร้อง ท่อง สวด และมักจะหมายถึงคำประพันธ์ภาษาบาลีประเภทฉันทลักษณ์ที่แต่งครบ ๔ บาทหรือ ๔ วรรค ๑ คาถามี ๔ บาท แต่ละบาทมีจำนวนคำต่างกัน และเชื่อกันว่าคาถาจะขลังและเกิดผลนั้นมาจากการผูกตัวอักษรที่เป็นมงคลเช่น คาถาชินบัญชร คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า คาถาบูชาพระสิวลี เป็นต้น
แต่ในภาษาไทยและคนทั่วไปจะเข้าใจว่า คาถาเป็นคำเสกเป่าและเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจดลบันดาลให้เกิดอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ตามอักขระที่เรียงร้อยอยู่ในนั้นและด้วยพลังวิเศษของผู้แต่งคาถานั้น ท่านผู้รู้ กล่าวไว้ว่า สมัยก่อนคนจะใช้คาถาต่างๆ ได้สัมฤทธิผลกันมากเนื่องจากมีความเชื่อความศรัทธาอย่างปักแน่นไม่สั่นคลอนและต้องมีสัจจะ มีศีลธรรมในตนเป็นสำคัญ
ส่วนคำว่า “อาคม” นั้นถ้าเอาตามคำแปลเป็นภาษาไทยจะแปลว่า การมาถึง การมา เช่น มีนาคม ซึ่งแปลว่า การมาถึงของราศีมีน แต่ยังใช้ในความหมายถึงการเล่าเรียนหาความรู้ บทและมนต์ในศาสนา
ซึ่งคนไทยจะเข้าใจในคำหลังมากกว่า เพราะถ้าพูดถึง “อาคม” จะเข้าใจกันทันทีเลยว่า เป็นเรื่องของบทสวดที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์และส่งผลใดส่งผลหนึ่งให้กับต่อผู้สวดไม่ว่าจะทางร้ายหรือในทางดี
ส่วนการท่องหรือตัวอักษรอักขระในบทสวดมนต์นั้น การออกเสียงต่างๆ อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำคัญอยู่ที่ความมั่นใจและตั้งมั่นมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆแค่ บทสวดมนต์ต่างๆ การออกเสียงในสำเนียงของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ก็ต่างกันมากแล้ว แต่ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน  คำตอบก็คือ ก็เพราะความตั้งมั่น ไม่สงสัยในครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอน
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องขอให้เข้าใจใหม่เสียตั้งแต่บัดนี้ว่าถ้าพูดกันถึง “มนตรา” จึงเป็นของพราหมณ์นิกายวิษณุเวท “อาคม” นั้นเป็นของพราหมณ์นิกายศิวเวท
พุทธมนต์ จึงเป็นสมบัติล้ำค่าและเป็นของวิเศษของชาวพุทธอย่างแท้จริง
เมื่อครั้งในสมัยพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจาก การสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ ๓ (ตติยสังคายนา) แล้ว พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียเริ่มร่วงโรยลงอย่างเด่นชัดด้วยหลายปัจจัยประกอบกันทั้งการเข้มแข็งของศาสนาอื่น และต่อมาพระพุทธศาสนาได้ไปเจริญรุ่งเรืองในลังกาแทน
มีผู้นำศาสนาพราหมณ์ฮินดูในอินเดียและสาวกในพระพุทธศาสนาสมัยนั้น ได้เอาหลักพิธีกรรมและเวทมนต์มาผสมผสานกับศาสนาพุทธ จนเกิดมีลัทธิพุทธตันตระที่เป็นลัทธิอันเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม พระคาถาเกิดขึ้น อีกลัทธิหนึ่งและลัทธิพุทธตันตระนั้นมีคำสอนที่ต่างจากพุทธศาสนาแบบเดิมมากขึ้น
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะจะดึงศาสนิกจากพราหมณ์ฮินดูให้มานับถือด้วย แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้ภูมิธรรมและคุณภาพของความเป็นพุทธศาสนิกชนเสื่อมลง กลายเป็นว่าพุทธศาสนิกเริ่มเบื่อกับคำสอนที่มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
หันไปเน้นเรื่องพิธีกรรม เน้นไปในเรื่องการใช้เวทมนต์สร้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เพื่ออยากให้คนมานับถือลัทธินี้มากขึ้น  และท้ายที่สุดก็ถูกพราหมณ์ฮินดูกลืนจนแยกไม่ออกว่าเป็นชาวพุทธหรือชาวฮินดู จนไม่เห็นความแตกต่างระหว่างการนับถือฮินดูหรือพุทธ
คนที่นับถือในลัทธินี้ไม่ต่างอะไรจากพวกพราหมณ์ฮินดู เพราะมีความมั่นคงเลื่อมใส ในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์คาถา เป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพณ์ต่างๆ ที่เชื่อว่าเกิดการอัศจรรย์ได้
ในความจริงแล้วในทางพระพุทธศาสนา ก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ  เสียเลยทีเดียวแต่วางในเรื่องนี้ไว้ในที่เหมาะสม เหมือนกับความเชื่อในเรื่องพรหมเทพเทวดา ที่พระพุทธศาสนาก็มี แต่อยู่ในความเชื่อ ความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในทางพราหมณ์ฮินดู เชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก สร้างจักรวาลและลิขิตชีวิตคนทุกคนในโลกนี้ แต่ในทางศาสนาพุทธ เชื่อว่าพระพรหมนั้นเป็นเพียงเทวดาชั้นสูง ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อการหลุดพ้น ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ไปสร้างโลกหรือไปกำหนดชะตาชีวิตของใคร อย่างที่พวกพราหมณ์บอกว่า ชีวิตของเรานั้นทำอะไรไม่ได้ เปลี่ยนแปลงโชคชะตาไม่ได้เพราะพรหมลิขิตไว้แล้ว
แต่พระพุทธองค์ไม่ได้สอนแบบนั้น พระพุทธองค์ผู้ตรัสรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่ทั้งมวล ได้ประกาศพุทธศาสนา เพื่อนำคนสู่ความหลุดพ้นเพื่อความสุขที่แท้จริงและส่วนหนึ่งเพื่อปลดแอกความเชื่อ ความงมงายที่ผิดเหล่านี้ที่ทำให้คนไม่สามารถพัฒนาศักยภาพ เปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้ พระพุทธองค์สอนสั่งว่า
“กรรม” หรือ “การกระทำ” เท่านั้นที่จะเป็นสิ่งจำแนกว่า คนเรานั้นจะดีหรือชั่ว รุ่งเรืองหรือตกต่ำ จะประณีตหรือเลวทรามเพียงใด อยู่ที่กรรมที่ตนเองทำมาเท่านั้น ไม่มีอำนาจอื่นใด ไม่ว่าจากพระเจ้า จากดวงดาว จากใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่มีใครมีอำนาจมาลิขิตให้ และไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นมาเบี่ยงเบนผลกรรมได้ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว อยู่ที่กรรมลิขิตเท่านั้น
ในพระพุทธศาสนาเอง มีเรื่องของปาฏิหาริย์และคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็นปาฏิหาริย์ไว้ ๒ อย่าง คือ
๑. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์
๒. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์  ในพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่อง พระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกไว้ว่าเป็น “เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์” หากแต่พระองค์ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์เท่ากับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์
            และขอเสริมสักเล็กน้อย ในเรื่องของพระโมคคัลลานะท่านจะเป็นเลิศในเรื่องการมีฤทธิ์ แต่ท่านยังปล่อยให้กรรมนั้นดำเนินไป เรื่องมีอยู่ว่า
ครั้งเมื่อท่านพำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ พวกเดียรถีย์หรือพวกนักบวชนอกศาสนาปรึกษากันว่า บรรดาลาภสักการะ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าในครั้งนั้น ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลานะ
เพราะพระโมคคัลลานะ มีฤทธิ์สามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ ชักนำให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใสในการทำกรรมดี  ถ้าพวกเรากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ลาภสักการะต่างๆ ก็จะมาหาพวกเราหมด เมื่อปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงจ้างโจรผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะเสียให้ตาย
เมื่อโจรมาหาพระโมคคัลลานะ ท่านทราบเหตุนั้นจึงหนีไปเสียสองครั้ง ครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่ากรรมตามทันจึงไม่คิดหนีเพื่อให้กรรมนั้นยุติลงไม่ติดตามไปในภพชาติอื่นอีก เพราะท่านปรารถนาที่จะไม่มาเกิดมาอีกแล้ว  ก็ปล่อยให้พวกโจรผู้ร้ายจึงได้ทุบตีจนร่างกายแหลกเหลว ก็สำคัญว่าตายแล้ว จึงนำร่างท่าน ไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป
แต่ท่านพระโมคคัลลานะยังไม่มรณะ เยียวยาตนเองให้หายด้วยกำลังฌาน แล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทูลลากลับปรินิพพาน ณ ที่เกิดเหตุ ในวันเดือนดับ เดือน ๑๒ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุ มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ประตูวัดเวฬุวัน
เรื่องนี้คงแสดงให้ประจักษ์แก่ใจท่านทั้งหลายว่า ในพระอรหันต์เจ้า พระอริยสงฆ์ ผู้มีภูมิธรรมชั้นสูงต่างทราบดีว่า
อำนาจที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด  แต่เป็นอำนาจแห่งกรรม
สำหรับในเรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ นั้น ครูบาอาจารย์ท่านบอกตรงกันว่าเป็น “ของเล่น ไม่ใช่ “ของจริง แต่ท่านก็ไม่ได้ห้าม ให้พิจารณากันเองตามบุญและกรรมที่ทำมา
สำหรับการสวดพระพุทธมนต์นี้ มีผู้รู้ได้สันนิษฐานไว้ว่า อาจจะเกิดขึ้นครั้งแรกใน ประเทศลังกา ราวประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ด้วยที่ว่าชาวลังกาที่นับถือพุทธศาสนาในขณะนั้น ประสงค์ให้พระสงฆ์ได้ช่วยเหลือตน เพื่อให้เกิดสิริมงคลต่อตนและป้องกันภยันตรายต่างๆ ซึ่งมีมากมายในยุคนั้น
ด้วยชาวลังกาจำนวนมากเชื่อว่า การสวดมนต์และคาถาตามแบบอย่างพราหมณ์หรือผู้ทรงเวท จะทำให้เกิดสิริมงคล และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้ และพระสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ที่ชาวลังกาถือว่าเป็นผู้มีพระเมตตา พระมหากรุณา พระบารมีเหนือใครทั้งสิ้นใน 3 โลก จึงเชื่อว่าพระสงฆ์เหล่านั้นที่เป็นสาวกต้องช่วยตนเองได้แน่นอน
ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์ลังกา เชื่อว่าท่านเองอาจจะไม่อยากขัดศรัทธา แต่ก็ไม่อยากทำให้ผิดพระธรรมวินัย จึงได้คิดวิธีสวด พระพุทธมนต์ขึ้น โดยเลือกเอาพระสูตรหรือคาถาที่สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย อันเกิดขึ้นเนื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆ มาสวดเป็นมนต์
โดยการสวดครั้งแรกๆ ก็ขึ้นกับเหตุการณ์ที่ไปสวด เช่น ไปสวดพิธีมงคลก็ใช้ มงคลสูตรสวด สวดให้คนเจ็บป่วยก็ใช้ “โพชฌงคสูตร” ครั้นคนนิยมมากขึ้น ก็ได้คิดค้นพระสูตรต่างๆ มาสวดเป็น พระพุทธมนต์ มากขึ้นเป็นลำดับ
ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินใน ประเทศลังกาก็ได้รับสั่งให้คณะสงฆ์ปรับปรุงพระสูตร และคาถาที่ใช้สวดพระพุทธมนต์ขึ้นใหม่ให้เหมาะกับเหตุการณ์ เพื่อใช้ในพระราชพิธีหลวงโดยได้เพิ่มพระสูตรและคาถาให้มากขึ้น และเรียกว่า “ราชปริตร” ซึ่งแปลว่า มนต์คุ้มครองพระเจ้าแผ่นดิน
ต่อมาประชาชนต่างก็นิยมให้มีการสวดพระปริตรในพิธีของตนบ้าง จึงเกิดเป็นประเพณีสืบต่อกันมาและสำหรับเมืองไทยนั้นสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลนี้มาตั้งแต่ครั้งอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานีที่มีการสืบทอดพระพุทธศาสนาสายลังกา และได้รับความศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนจนถึงปัจจุบันนี้
บทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลจริง ซึ่งสิ่งใดก็ตามในโลกนี้ถ้าเป็นของจริงแท้ นำมาซึ่งประโยชน์สุขไม่มีสิ่งอันไม่เป็นมงคลเจือปน สิ่งนั้นจะดำรงอยู่ชั่วกาลนานไม่มีเสื่อมลงไปในระยะเวลาอันใกล้ ดังเช่นมีลัทธิต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานที่ล้มหายตายจากไปมากมาย  แต่บทสวดพุทธมนต์ซึ่งเป็นของดี ของจริงแท้จึงไม่มีได้เสื่อมลงไปมีการสืบทอดกันตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา
และในเวลาต่อมาได้มีครูบาอาจารย์ ผู้ทรงความรู้ในพระพุทธศาสนาอย่างแตกฉานได้แต่งคาถาขึ้นมาเพื่อสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และเพื่อการต่างๆ ขึ้นมาซึ่งได้รับความศรัทธาเป็นอันมากจากประชาชน
อันเนื่องมาจากมีผู้ที่สวดคาถาต่างๆ แล้วเกิดผลดีต่อชีวิต และหลายคนพบกับปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดคิด เรื่องของการสวดมนต์และสวดคาถาต่างๆ จึงกลายเป็นสิ่งยืดเหนี่ยวทางใจที่สำคัญของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
1

เกี่ยวกับ""

เว็บไซต์ "สวดมนต์เน็ทเวิร์ค ดอทคอม" จัดทำขึ้นเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแผ่การสวดมนต์ให้แพร่หลายในหมู่ชาวพุทธ ด้วยการรวบรวมบทสวดมนต์พร้อมทั้งเสียงสวดแล้วนำมาจัดทำเป็นเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ท่านสามารถติดต่อผู้จัดทำเว็บไซต์สวดมนต์เน็ทเวิร์คได้ที่ suadmonnetwork.com@gmail.com

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ